การผันอักษรไตรยางศ์
แล้วทราบหรือไม่ครับว่า เราแบ่งอักษรเป็นสามหมู่เพื่ออะไร?
คำตอบก็คือ... การแบ่งอักษรเป็นสามหมู่ก็เพื่อประโยชน์ในการนำไปผันคำ ทั้งนี้เพราะอักษรแต่ละหมู่มีความสามารถในการผันคำได้แตกต่างกัน ...
การผันอักษร
การผันอักษร คือการออกเสียงพยางค์ที่ประสมด้วยพยัญชนะ สระ และวรรณยุกต์ ซึ่งเสียงวรรณยุกต์จะเปลี่ยนไป เช่น กา ก่า ก้า ก๊า ก๋า ก่อนผันอักษรต้องเข้าใจเรื่องความหมายของคำต่อไปนี้ก่อน คือ
1. คำเป็น คำตาย
คำเป็น หมายถึง
1. พยางค์ที่มีเสียงสระยาวในแม่ ก กา เช่น มา รู โต
2. พยางค์ที่มีพยัญชนะตัวสะกด แม่ กง กน กม เกย เกอว เช่น นาง กิน ปม นาย หิว
ข้อสังเกต เสียงสระของคำเป็นใน ข้อ 2 มีทั้งสระเสียงสั้นและเสียงยาว
คำตาย หมายถึง
1. พยางค์ที่มีเสียงสระสั้นในแม่ ก กา เช่น ปะ ติ ฉุ
2. พยางค์ที่มีพยัญชนะตัวสะกด แม่ กก กด กบ เช่น นก มัด รับ
ข้อสังเกต เสียงสระของคำตายใน ข้อ 2 มีทั้งสระเสียงสั้นและเสียงยาว
2. พื้นเสียง
หมายถึงพยางค์ที่ไม่มีรูปวรรณยุกต์
ต่อไปนี้จะเป็นการผันอักษรทีละหมู่
อักษรกลาง
พยัญชนะที่เรียกว่าอักษรกลางทั้ง 9 ตัว (ก จ ด ต ฎ ฏ บ ป อ) เมื่อนำมาประสมกับสระเดียวกัน และใช้วรรณยุกต์ รูปเดียวกันจะออกเสียงวรรณยุกต์ได้ตรงกัน เช่น ก่า จ่า ด่า ต่า บ่า ป่า อ่า
อักษรกลางคำเป็น
พื้นเสียงเป็นเสียงสามัญ เช่น กา ดง จน ปม เตย
ผันด้วย ไม้เอก เป็นเสียงเอก เช่น ก่า ด่ง จ่น ป่ม เต่ย กล่อ
ผันด้วย ไม้โท เป็นเสียงโท เช่น ก้า ด้ง จ้น ป้ม เต้ย กล้อง
ผันด้วย ไม้ตรี เป็นเสียงตรี เช่น ก๊า ด๊ง จ๊น ป๊ม เต๊ย กล๊อง
ผันด้วย ไม้จัตวา เป็นเสียงจัตวา เช่น ก๋า ด๋ง จ๋น ป๋ม เต๋ย กล๋อง
จะเห็นว่าอักษรกลางคำเป็น ผันได้ครบ 5 เสียง และเสียงกับรูปวรรณยุกต์ตรงกัน
อักษรกลางคำตาย
พื้นเสียงเป็นเสียงเอก เช่น ปะ กาก จด โบก
ผันด้วย ไม้โท เป็นเสียงโทเช่น ป้ะ ก้าก จ้ด โบ้ก
ผันด้วย ไม้ตรี เป็นเสียงตรี เช่น ป๊ะ ก๊าก จ๊ด โบ๊ก
ผันด้วยไม้จัตวา เป็นเสียงจัตวาเช่น ป๋ะ ก๋าก จ๋ด โบ๋ก
(คำที่ยกตัวอย่างเพียงเพื่อให้เห็นวิธีผันอาจไม่มีที่ใช้เป็นปรกติในภาษาก็ได้)
อักษรต่ำ
พยัญชนะที่เรียกว่าอักษรต่ำทั้ง 24 ตัว (ค ค(ค.คน) ฆ ง ช ซ ฌ ญ ฑ ฒ ณ ท ธ น พ ฟ ภ ม ย ร ล ว ฬ ฮ ) ถ้านำมาประสมกับสระเดียวกัน และใช้วรรณยุกต์รูปเดียวกัน จะออกเสียงวรรณยุกต์ ได้ตรงกันทั้งหมู่ต่างกันแต่เสียงพยัญชนะต้นของพยางค์เท่านั้น เช่น คังงัง ชั่ง นั่ง ค้อน ช้อน ฟ้อน ต่อไปนี้จะผันอักษรต่ำ
อักษรต่ำคำเป็น
พื้นเสียงเป็นเสียงสามัญเช่น คา ซน โคน วาว เชย
ผันด้วยไม้เอก เป็นเสียง โท เช่น ค่า ซ่น โค่น ว่าว เช่ย
ผันด้วยไม้โท เป็นเสียงตรี เช่น ค้า ซ้น โค้น ว้าว เช้ย
จะเห็นว่า อักษรต่ำคำเป็น ผันได้เพียง 3 เสียง คือ สามัญ โท ตรี
อักษรต่ำคำตาย
สระเสียงสั้น
พื้นเสียงเป็นเสียงตรี เช่น คะ นัด รัก
ผันด้วย ไม้เอก เป็นเสียงโท เช่น ค่ะ นัด รั่ก
สระเสียงยาว
พื้นเสียงเป็นเสียงโท เช่น มาก เชิต โนต
ผันด้วยไม้โท เป็นเสียงตรี เช่น ม้าก เชิ้ต โน้ต
จะเห็นว่า อักษรต่ำคำตาย สระเสียงสั้น ผันได้เพียง 2 เสียง คือ โท และตรี
(การผันคำตายด้วย ไม้จัตวามีผู้ใช้เป็น ครั้งคราว แต่ออกเสียงไม่สะดวกเหมือนเสียงจัตวาของคำเป็น)
อักษรสูง
พยัญชนะที่เรียกว่าอักษรสูง ทั้ง 11 ตัว (ข ข (ข.ขวด) ฉ ฐ ถ ผ ฝ ศ ส ษ ห)
ถ้านำมาประสมกับ สระเดียวกัน และใช้วรรณยุกต์รูปเดียวกัน จะออกเสียงวรรณยุกต์ได้ตรงกันทั้งหมู่ ต่างกันแต่พยัญชนะต้นของพยางค์ เท่านั้น เช่น ข่า ฉ่า ส่า ข้า ฉ้า ส้า
ต่อไปนี้จะผันอักษรสูง
อักษรสูงคำเป็น
พื้นเสียงเป็นเสียงจัตวา เช่น ขา ผง เขย สาว
ผันด้วยไม้เอก เป็นเสียงเอก เช่น ข่า ผ่ง เข่ย ส่าว
ผันด้วยไม้โท เป็นเสียงโท เช่น ข้า ผ้ง เข้ย ส้าว
อักษรสูงคำตาย
พื้นเสียงเป็นเสียงเอก เช่น สะ ผลิ ฝาก ขูด
ผันด้วยไม้โท เป็นเสียงโท แต่คำที่ผันได้ไม่มีที่ใช้หรือไม่มีความหมายจึงมิได้แสดงไว้
อักษรคู่ อักษรเดี่ยว
อักษรต่ำ 24 ตัว ยังแบ่งออกเป็น 2 พวก คือ
1. อักษรคู่
คือ อักษรต่ำที่มีอักษรสูงเป็นคู่ มี 14 ตัวได้แก่ ค ค(ค.คน) ฆ ช ซ ฌ ฑ ฒ ท ธ พ ฟ ภ ฮ จับคู่กับ อักษรสูง 7 คู่ ได้แก่ ค ค(ค.คน) ฆ คู่กับ ข ข (ข ขวด ส่วนหัวมีหยัก)
ช ฌ คู่กับ ฉ
ซ คู่กับ ศ ษ ส
ฑ ฒ ท ธ คู่กับ ฐ ถ
พ ภ คู่กับ ผ
ฟ คู่กับ ฝ
ฮ คู่กับ ห
อักษรคู่เหล่านี้ เมื่อนำอักษรสูงที่เป็นคู่มาผันร่วมกันระหว่างคู่ของตน จะได้เสียงวรรณยุกต์ครบ ทั้ง 5 เสียง ตัวอย่างเช่น
สามัญ เอก โท ตรี จัตวา
คา ข่า ค่า ค้า ขาข้า
ชา ฉ่า ช่า ช้า ฉาฉ้า
2. อักษรเดี่ยว
คือ พยัญชนะที่ไม่มีอักษรสูงเป็นคู่ มี 10 ตัว ได้แก่ ง ญ ณ น ม ย ร ล ว ฬ
หากต้องการจะผัน ให้ครบทั้ง 5 เสียง ต้องใช้ ห นำ ตัวอย่าง เช่น
สามัญ เอก โท ตรี จัตวา
งอ หง่อ ง่อ ง้อ หงอ หง้อ
มอ หม่อ ม่อ ม้อ หมอ หม้อ
ข้อสังเกต อักษรเดี่ยวทั้ง 10 ตัวนี้ ถ้าเขียนตามอักษรกลางหรืออักษรสูง และประสมสระเดียวกัน เสียงวรรณยุกต์ของอักษรเดี่ยว จะตามเสียงวรรณยุกต์อักษรกลาง หรือ อักษรสูงที่มาข้างหน้า ไม่ว่าจะ เป็น พยางค์เดียว หรือสองพยางค์ เช่น คำ หรู อยู่ เฉลา ปลัด สนาม
ข้อสังเกตเพิ่มเติม
1. อักษรนำ อักษรตาม
หมายถึงพยัญชนะสองตัวเรียงกัน ประสมด้วยสระเดียวกัน ตัวแรกเป็นอักษรสูงหรืออักษรกลางจะบังคับให้พยางค์หลัง ซึ่งมีพยัญชนะต้นของพยางค์เป็นอักษรเดี่ยว มีเสียงวรรณยุกต์ตามพยัญชนะตัวแรก ตัวอย่างเช่น
ขยาย ขย เป็นอักษรนำ อักษรตามอักษรตัวแรก ข (อักษรสูง) นำอักษรตัวหลังย (อักษรเดี่ยว) ย จึงต้อง ออกเสียงวรรณยุกต์ตามอักษรตัวแรก คือ ข คำเช่นนี้ เรา
ออกเสียงพยัญชนะตัวแรกเป็นอะ กึ่งมาตรา ขาย มีเสียง ว รรณยุกต์จัตวา ในคำ ขยาย
จึงต้องอ่านพยัญชนะหลัง เป็น เสียงจัตวา(อ่านว่า ขะ-หยาย)
ตลิ่ง ตล เป็นอักษรนำ อักษรตาม อักษรตัวแรก ต (อักษรกลาง) นำอักษร
ตัวหลัง ล (อักษรเดี่ยว) เราอ่าน พยัญชนะตัวแรกเป็น อะกึ่งมาตรา พยางค์หลัง ออกเสียงเป็นเสียงเอก ตามเสียงอักษรกลาง ต ถ้าประสมกับ สระอิ มีวรรณยุกต์เอก อ่านว่า ติ่ง เพราะฉะนั้นพยางค์หลัง จึง อ่านว่า หลิ่ง มีคำมากกว่าสองพยางค์ เช่น อุปราช ศักราช อุปโลกน์ ซึ่งอักษรกลาง เป็น ตัวสะกดของพยางค์หน้า บังคับเสียงวรรณยุกค์ของพยางค์หลัง ให้เป็นไป ตามเสียงอักษรกลาง จึงอ่านออกเสียง พยางค์หลังเป็นเสียงเอก
อักษรนำ อักษรตาม
มีอีกประเภทหนึ่ง คือ ห นำ อักษรเดี่ยวทุกตัว และไม่ออกเสียง ห ตัวอย่าง เช่น เหงา หงอย หญ้า หนา หมู หมุน หยัก ไหล แหล่ง หว่าง ฯ.ล.ฯ
2. อักษรควบ
หมายถึงพยัญชนะสองตัวเรียงกันออกเสียงกล้ำเป็นพยางค์เดียวนั้นในการผันก็เป็นไปตาม หลักเกณฑ์ดังที่กล่าวมาแล้วด้วยเช่นกันอักษรควบมี 2 ประเภทคือ อักษรควบแท้และอักษรควบไม่แท้
1. อักษรควบแท้ คือพยัญชนะ2ตัว ที่มีตัว ร ล วประสมอยู่ด้วย ประสมด้วยสระเดียวกันอ่านออกเสียง พร้อมกันทั้ง 2 ตัว เช่น กลาง ครัว กวาง
2. อักษรควบไม่แท้ ได้แก่ พยัญชนะที่มีตัวร ควบอยู่ด้วยแต่ไม่ออกเสียงตัว ร
หรือมิฉะนั้นก็ออกเสียงเป็น เสียงอื่นไป
ตัวอย่างอักษรควบไม่แท้ที่ออกเสียงแต่พยัญชนะตัวแรก เช่น จริง ไซร้ สร้าง ศรี เศรษฐี
ตัวอย่างอักษรควบไม่แท้ ทร ออกเสียงเป็น ซ ไทร ทราย อินทรีย์ ทรัพย์ มัทรี ฯ
ตัวอย่างการผันอักษรควบไม่แท้
สามัญ เอก โท ตรี จัตวา
จริง จริ่ง จริ้ง จริ๊ง จริ๋ง
- สร่าง สร้าง - สราง
ไซร - ไซร่ ไซร้ -
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น